การเอาชนะ Imposter Syndrome
ที่มา : Harvard Business Review
Imposter Syndrome คือลักษณะของโรคที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง อาจจะแค่คิดไปว่าตัวเองไม่เก่ง หรือไม่มั่นใจเพราะไม่ได้เก่งอย่างนั้นจริงๆ
ลักษณะ 3 ประการของโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
1. เชื่อว่าคนอื่นมีมุมมองเกี่ยวกับความสามารถหรือทักษะของตัวเองเกินความเป็นจริง
2. ความกลัวว่าจะถูกจับได้ และถูกเปิดโปงว่าเป็นคนที่ไม่ได้เก่งจริง
3. คิดว่าความสำเร็จที่ได้มาเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่นโชคช่วย หรือเพราะทำงานหนักถึงขีดสุด
คนที่คิดว่าตัวเองไม่เก่งมักจะลดทอนคุณค่าของความสำเร็จและคำชมที่ได้รับ ทำงานหนักเพราะกลัวถูกจับได้ว่าไม่เก่งจริง พยายามพิสูจน์ข้อสงสัยว่าเก่งจริงหรือไม่โดยหาที่ปรึกษาที่เก่งกว่าเพื่อสร้างความประทับใจให้เขายืนยันความสามารถ หรือหาเวทีประกวดต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
5 วิธีรับมือกับโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
1. หลัก ๆ แล้ว การที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง เป็นเพราะเกิดความขัดแย้งกับความเชื่อในตัวเอง เช่น ฉันไม่ใช่คนเก่ง หากฉันได้รางวัล แสดงว่ากรรมการตัดสินผิด ให้ลองเขียนตารางกรอกสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น ผลการสอบ ทักษะที่มี และอีกช่องใส่ความคิดที่ว่าตัวเองไม่เก่ง (ซึ่งอาจจริงหรือไม่จริง) นำมาเทียบกัน เพื่อปรับการรับรู้และยอมรับตัวเอง
2. ยอมรับว่าความสมบูรณ์แบบไม่มีจริง แม้จะตั้งใจทำอย่างดีที่สุด การเกิดข้อผิดพลาดบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
3. การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นใน social media ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เก่งพอ มีคนที่หน้าที่การงานดีกว่า ใช้ชีวิตหรูหรากว่า มีชื่อเสียงกว่า หุ่นดีกว่า ลูกเรียนเก่งกว่า หรือครอบครัวอบอุ่นกว่า ให้เห็นอยู่เสมอ ต้องอย่าลืมว่า สิ่งที่คนอื่นนำเสนอมา เป็นเพียงด้านหนึ่งในชีวิตของเขาเท่านั้น
4. พ่อแม่ควรให้คำชมและตำหนิลูกตามความเป็นจริง ไม่พร่ำเพรื่อ ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ควรระมัดระวังการตีตราลูก ถึงแม้จะเป็นในด้านดีก็ตาม
5. หากรู้สึกว่ารบกวนจิตใจมาก ควรปรึกษานักจิตวิทยา เพื่อทำการบำบัด
อย่างไรก็ดี หากมีภาวะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งอยู่บ้างก็จะช่วยผลักดันให้เราตั้งใจพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น หากใครไม่มีความรู้สึกนี้เลยก็อาจจะใช้ความมั่นใจในตัวเองในทางที่ผิด ทำงานคุณภาพต่ำ กลายเป็นคนไม่เก่งจริง ๆ ในที่สุด